1) Computing Everywhere: การ ใช้งานอุปกรณ์ smartphone ที่แพร่หลาย ทำให้เกิดผู้ใช้้ที่เป็น mobile มากขึ้น และต้องสามารถเข้าถึงการใช้งานได้ทุกที่ ระบบการใช้งานก็จะต้องคำนึงสภาพแวดล้อมที่จะมีอุปกรณ์หลากหลายต่อมาจากทุกๆ ที่มากกว่่าที่จะพัฒนามุ่งมาให้อุปกรณ์เดี่ยวใช้งาน และยิ่งมีกระแสของอุปกรณ์อย่าง waerable technology ก็จะยิ่งทำให้การประมวลผลผ่านอินเตอร์เน็ตมีการใช้งานอย่างกว้างขวางขึ้นที่ ผู้คนจะเข้าถึงจากทุกๆที่ และต่อไปการออกแบบที่เน้นประสบการณ์ของผู้ใช้ (User Experience Design) จะมีความสำคัญยิ่งขึ้น
2) The Internet of Thing (IoT): Gartner ให้ความสำคัญกับ IoT อย่างต่อเนื่องมาสามปีแล้ว ซึ่งการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุปกรณ์จะทำให้เกิดข้อมูลที่มากขึ้นและก็จะ มีบริการต่างๆเพิ่มมากขึ้นตาม เราจะเห็นการนำอุปกรณ์มาใช้งานในเชิงธุรกิจมากขึ้น อาทิเช่น การนำโมเดลการจ่ายเงินตามการใช้งาน (Pay-per-use )มาใข้กับการบริการอย่างระบบประกันภัยที่อาจชำระเฉพาะเมื่อมีการขับรถโดยเรา ใช้อุปกรณ์ IoT ตรวจจับ หรือที่จอดรถที่อาจมีอุปกรณ์ IoT ติดอยู่
3) 3D Printing: ตลาดการพิมพ์สามมิติในปี 2015 จะโตขึ้นถึง 98% และคาดการณ์ว่าจำนวนเครื่องพิมพ์สามมิติจะถูกจำหน่ายเพิ่มเป็นสองเท่าและจะ มีจำนวนเป็นสามเท่าในอีกสามปีข้างหน้า โดยเครื่องก็จะมีราคาถูกลงและถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆมากขึ้น ซึ่งการนำ 3D Printer มาใช้ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการออกแบบหรือการพัฒนาอุปกรณ์ต้นแบบ
4) Advanced, Pervasive and Invisible Analytics: Analytics จะกลายเป็นเรื่องสำคัญเพราะเราจะมีข้อมูลทั้งที่เป็น structure และ unstructure มากขึ้น Application ต่างๆก็ต้องมีระบบที่มีความสามารถด้าน Analytics อยู่ใน และองค์กรก็ต้องเตรียมรองรับกับข้อมูลมหาศาลที่จะมาจาก IoT, Social Media และ อุปกรณ์ Wearable ซึ่ง Analytics จะมีความสำคัญในการจะหาคำตอบต่างๆมากกว่าเพียงแค่ Big Data
5) Context-Rich Systems: Gartner ได้กล่าวถึง Ubiquitous embedded intelligence ซึ่งจะเป็นการพัฒนาระบบต่างๆที่จะช่วยเตือนและคาดการณ์เรื่องต่างๆที่อยู้ รอบตัวได้ล่วงหน้า อาทิเช่นระบบอย่าง Context-Aware Security
6) Smart Machines: เมื่อปีที่แล้ว Gartner ก็กล่าวถึง smart machine ที่เป็นระบบที่สามารถเรียนรู้เองได้ (เช่น IBM Watson) ซึ่งจะมีระบบ Analytics ที่ชาญฉลาด โดยยุคของ smart machine ที่จะมาถึงนี้ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ไอที ซึ่งในปัจจุบันก็เริ่มมีการพัฒนาต้นแบบของ รถยนต์แบบautonomous, หุ่นยนต์ที่ก้าวหน้าขึ้น หรือผู้ช่วยอัจฉริยะเสมือนจริง (virtual personal assistant)
7) Cloud/Client Architecture: เทคโนโลยี Mobile และ Cloud กำลังเข้ามารวมกัน โดยฝั่ง Client จะเป็น Rich Application ที่ทำงานบนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตเช่นอุปกรณ์พีซี smartphone หรือ Tablet ส่วนฝั่งของ Server ก็จะเป็น Applications หลากหลายที่ทำงานอบู่บนระบบ Cloud Computing ที่ยืดหยุ่น (Elastic) และพร้อมที่จะรองรับผู้ใช้จำนวนมากได้ (Scability) นอกจากนี้ความต้องการการใช้งานฝั่ง Client ผ่านอุปกรณ์โมบายจะยิ่งทำให้ระบบ Server และ Storage มีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ผู้พัฒนา Application ก็ต้องต้องเตรียมรองรับกับผู้ใช้จำนวนมากจากอุปกรณ์ที่มีหน้าจอที่หลากหลาย และจะต้องสามารถ sync ข้อมูลของ App ในทุกๆอุปกรณ์ได้
8) Software Defined Infrastructure and Applications: ต่อไปเราจะเห็นการโปรแกรมที่ยืดหยุ่น (Agile Programming) สำหรับทุกๆอย่างตั้งแต่การพัฒนา Application ไป จนถึงการทำ Infrastructure ที่จะมีเรื่องของ Software-defined networking, storage, data centers และ security โดยจะมีการใช้ Application Programming Interface (APIs) ที่จะเข้าถึงข้อมูลและระบบเหล่านี้ผ่านบริการที่อยู่บน Cloud
9) Web-Scale IT: การให้บริการไอทีกำลังเปลี่ยนไปเพราะมีผู้ใช้จำนวนมหาศาล ระบบอย่าง Facebook, Amazon และ Google ทำให้ Enterprise Data Center ต่างๆต้องออกแบบระบบที่จะรองรับผู้ใช้จำนวนมากที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้ ซึ่งจะเป็นเรื่องยากที่องค์กรส่วนใหญ่จะทำระบบแบบนั้นได้ ดังนั้นในอนาคตเราอาจจะเห็นองค์กรต่างๆมาใช้ระบบ Cloud มากขึ้น และขั้นตอนแรกขององค์กรต่างๆที่จะเข้าสู่่ Web-Scale IT คือการใช้ DevOps ซึ่งเป็นการรวมกันของ Development กับ Operation
10) Risk-Based Security and Self-Protection: สุดท้าย Gartner ก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของระบบความปลอดภัยและเชื่อว่าไม่มีองค์กรใด ป้องกันได้ 100% ดังนั้นการประเมินความเสี่ยงและการใช้กระบวนการและเครื่องมือในการลดความ เสี่ยงจะเป็นเรื่องที่สำคัญ ในมุมทางเทคนิคการออกแบบ Application ที่มีการป้องกันความปลอดภัยอยู่ในตัวจะมีความสำคัญยิ่งขึ้น
ที่มา: www.gartner.com