ในการนี้ได้มีราษฎรขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณเกี่ยวกับระบบส่งน้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยวังใหญ่ จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทานพิจารณาสร้างคลองส่งน้ำพร้อมอาคารประกอบ
โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยวังใหญ่ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านตายอย ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นโครงการพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี 2538 ที่ผ่านมาครั้งเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว
ในการนี้ได้มีราษฎรขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณเกี่ยวกับระบบส่งน้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยวังใหญ่ จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทานพิจารณาสร้างคลองส่งน้ำพร้อมอาคารประกอบ สำหรับราษฎรจำนวน 8 หมู่บ้านของตำบลโดมประดิษฐ์ และตำบลสีวิเชียร มีน้ำใช้ในการอุปโภคบริโภค การประมง เลี้ยงสัตว์ และทำการเกษตรได้ตลอดปี ปัจจุบันมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 14,000 ไร่ เป็นพื้นที่ชลประทาน 9,600 ไร่ และส่งน้ำให้พื้นที่เพาะปลูกในฤดูแล้งได้ 500 ไร่
ทั้งนี้ได้มีการพัฒนาแหล่งน้ำในบริเวณเขาพนมดงรักและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้านการเกษตร เพื่อให้เกิดประโยชน์ระยะยาวต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎร และเป็นการสนับสนุนแนวนโยบายการพัฒนาพื้นที่เพื่อความมั่นคงของชาติ และเพื่อส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกในตำบลสีวิเชียร และตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี อีกด้วย
ล่าสุดนายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี พร้อมด้วยนายดนุชา สินธวานนท์ รองเลขาธิการ กปร. นายเฉลิมเกียรติ แสนวิเศษ ที่ปรึกษาสำนักงาน กปร. นายเทอดศักดิ์ บุณยขจร ผู้เชี่ยวชาญด้านแหล่งน้ำ มูลนิธิชัยพัฒนา และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางเข้าพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมความคืบหน้าในการดำเนินงาน พบว่ามีหลายกิจกรรมที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกับราษฎรในพื้นที่ดำเนินการ และพัฒนาทั้งทางสังคมและการผลิตต่างประสบความสำเร็จด้วยดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการปลูกข้าวนาปรัง ที่ได้ใช้ระบบแกล้งข้าวมาปลูกข้าว
ซึ่งการทำนาแบบแกล้งข้าว ก็คือการทำแบบเปียกสลับแห้ง นั้นเป็นการทำนาที่สามารถลดปริมาณการใช้น้ำในการทำนาข้าวได้ถึงร้อยละ 28 ของปริมาณน้ำที่ใช้ในการทำนาแบบทั่วไป ซึ่งโดยปกติจะใช้น้ำประมาณ 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ แต่ถ้าทำนาแบบแกล้งข้าวจะใช้น้ำเพียงประมาณ 860 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่เท่านั้น
วิธีการจะเริ่มต้นจากการขังน้ำในแปลงนาที่ระดับความลึกประมาณ 5 ซม. ในช่วงหลังปักดำ เมื่อข้าวเจริญเติบโตอยู่ในช่วงตั้งท้องออกดอก ก็เพิ่มระดับน้ำในแปลงปลูกให้อยู่ที่ประมาณ 7-10 ซม. แล้วปล่อยให้ข้าวขาดน้ำ โดยครั้งที่ 1 ในช่วงข้าวเริ่มต้นในส่วนของลำต้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่ข้าวจะมีอายุที่ประมาณ 35-45 วัน ปล่อยจนกว่าระดับน้ำในแปลงนาจะต่ำกว่าผิวแปลงประมาณ 10-15 ซม. หรือดินในแปลงนาเริ่มแตกระแหง แล้วปล่อยน้ำเข้าแปลงนา จนข้าวแตกกอเต็มที่ ซึ่งจะอยู่ที่อายุข้าวประมาณ 60-65 วัน แล้วปล่อยให้ข้าวขาดน้ำอีกครั้งเป็นครั้งที่ 2 ช่วงนี้กะระยะประมาณ 14 วัน เพื่อกระตุ้นให้รากและลำต้นข้าวแข็งแรง อันจะเป็นผลดีต่อการออกรวงและคอรวงก็จะแข็งแรงขึ้นด้วย
การทำนาแบบแกล้งข้าว ของเกษตรกรที่นี่ นอกจากจะสามารถลดปริมาณการใช้น้ำได้จำนวนมากแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ย ใช้สารเคมี และน้ำมันเชื้อเพลิง ของเกษตรกรอีกด้วย ทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวลดลงจากไร่ละประมาณ 5,600 บาท เหลือประมาณ 3,400 บาท รวมทั้งยังทำให้คุณภาพของข้าวดีขึ้น เพิ่มปริมาณผลผลิตสูงกว่าโดยจะได้ไร่ละประมาณ 1,200 กิโลกรัม.
โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยวังใหญ่ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านตายอย ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นโครงการพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี 2538 ที่ผ่านมาครั้งเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว
ในการนี้ได้มีราษฎรขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณเกี่ยวกับระบบส่งน้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยวังใหญ่ จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทานพิจารณาสร้างคลองส่งน้ำพร้อมอาคารประกอบ สำหรับราษฎรจำนวน 8 หมู่บ้านของตำบลโดมประดิษฐ์ และตำบลสีวิเชียร มีน้ำใช้ในการอุปโภคบริโภค การประมง เลี้ยงสัตว์ และทำการเกษตรได้ตลอดปี ปัจจุบันมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 14,000 ไร่ เป็นพื้นที่ชลประทาน 9,600 ไร่ และส่งน้ำให้พื้นที่เพาะปลูกในฤดูแล้งได้ 500 ไร่
ทั้งนี้ได้มีการพัฒนาแหล่งน้ำในบริเวณเขาพนมดงรักและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้านการเกษตร เพื่อให้เกิดประโยชน์ระยะยาวต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎร และเป็นการสนับสนุนแนวนโยบายการพัฒนาพื้นที่เพื่อความมั่นคงของชาติ และเพื่อส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกในตำบลสีวิเชียร และตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี อีกด้วย
ล่าสุดนายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี พร้อมด้วยนายดนุชา สินธวานนท์ รองเลขาธิการ กปร. นายเฉลิมเกียรติ แสนวิเศษ ที่ปรึกษาสำนักงาน กปร. นายเทอดศักดิ์ บุณยขจร ผู้เชี่ยวชาญด้านแหล่งน้ำ มูลนิธิชัยพัฒนา และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางเข้าพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมความคืบหน้าในการดำเนินงาน พบว่ามีหลายกิจกรรมที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกับราษฎรในพื้นที่ดำเนินการ และพัฒนาทั้งทางสังคมและการผลิตต่างประสบความสำเร็จด้วยดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการปลูกข้าวนาปรัง ที่ได้ใช้ระบบแกล้งข้าวมาปลูกข้าว
ซึ่งการทำนาแบบแกล้งข้าว ก็คือการทำแบบเปียกสลับแห้ง นั้นเป็นการทำนาที่สามารถลดปริมาณการใช้น้ำในการทำนาข้าวได้ถึงร้อยละ 28 ของปริมาณน้ำที่ใช้ในการทำนาแบบทั่วไป ซึ่งโดยปกติจะใช้น้ำประมาณ 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ แต่ถ้าทำนาแบบแกล้งข้าวจะใช้น้ำเพียงประมาณ 860 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่เท่านั้น
วิธีการจะเริ่มต้นจากการขังน้ำในแปลงนาที่ระดับความลึกประมาณ 5 ซม. ในช่วงหลังปักดำ เมื่อข้าวเจริญเติบโตอยู่ในช่วงตั้งท้องออกดอก ก็เพิ่มระดับน้ำในแปลงปลูกให้อยู่ที่ประมาณ 7-10 ซม. แล้วปล่อยให้ข้าวขาดน้ำ โดยครั้งที่ 1 ในช่วงข้าวเริ่มต้นในส่วนของลำต้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่ข้าวจะมีอายุที่ประมาณ 35-45 วัน ปล่อยจนกว่าระดับน้ำในแปลงนาจะต่ำกว่าผิวแปลงประมาณ 10-15 ซม. หรือดินในแปลงนาเริ่มแตกระแหง แล้วปล่อยน้ำเข้าแปลงนา จนข้าวแตกกอเต็มที่ ซึ่งจะอยู่ที่อายุข้าวประมาณ 60-65 วัน แล้วปล่อยให้ข้าวขาดน้ำอีกครั้งเป็นครั้งที่ 2 ช่วงนี้กะระยะประมาณ 14 วัน เพื่อกระตุ้นให้รากและลำต้นข้าวแข็งแรง อันจะเป็นผลดีต่อการออกรวงและคอรวงก็จะแข็งแรงขึ้นด้วย
การทำนาแบบแกล้งข้าว ของเกษตรกรที่นี่ นอกจากจะสามารถลดปริมาณการใช้น้ำได้จำนวนมากแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ย ใช้สารเคมี และน้ำมันเชื้อเพลิง ของเกษตรกรอีกด้วย ทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวลดลงจากไร่ละประมาณ 5,600 บาท เหลือประมาณ 3,400 บาท รวมทั้งยังทำให้คุณภาพของข้าวดีขึ้น เพิ่มปริมาณผลผลิตสูงกว่าโดยจะได้ไร่ละประมาณ 1,200 กิโลกรัม.
ที่มา : dailynews.co.th
